Google กำลังพิจารณาแนวคิดที่จะคิดเงินสำหรับฟีเจอร์ที่บริษัทมองว่าเป็น "พรีเมียม" ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบ generative (Gen AI) ตัวอย่างเช่น ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Gemini AI โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อระบบค้นหาของ Google ซึ่งถือเป็นการสร้างระบบปิด (paywall) สำหรับผลิตภัณฑ์หลักเป็นครั้งแรก
ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์แบบ generative อย่าง Gemini (เดิมทีมีชื่อว่า Bard) ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2024 และได้ถูกผสานเข้ากับบริการ Gmail และ Document ของ Google เรียบร้อยแล้ว อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการ โดยมีแนวโน้มที่จะมีการคิดค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้งาน Gemini ภายในระบบค้นหาของ Google ซึ่งนับเป็นการเบี่ยงเบนไปจากนโยบายเดิมที่เน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์ฟรีโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับฟีเจอร์ต่างๆ โดยในรายงานยังระบุด้วยว่า Google ยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับประเด็นนี้
ซึ่งทาง Google พยายามปฏิวัติระบบการค้นหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุดโดยการทดลองนำปัญญาประดิษฐ์แบบ generative (generative AI) มาใช้กับระบบค้นหา ประสบความสำเร็จ ช่วยตอบสนองผู้ใช้หลายพันล้านคน และมีแนวโน้มการค้นหาที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก
Google ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้ใช้วิศวกรภายใน Google กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการคิดค่าใช้จ่ายสำหรับฟีเจอร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบ Generative AI ในเครื่องมือค้นหา แต่การตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในการพิจารณาของฝ่ายบริหาร
ในขณะเดียวกัน Microsoft ก็เดินหน้าพัฒนาเครื่องมือ AI อย่าง Copilot อย่างต่อเนื่อง โดยมีการเน้นที่ Copilot มากกว่า Teams ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่า Microsoft มองเห็นศักยภาพการเติบโตที่สำคัญในเทคโนโลยีนี้
รายงานระบุว่า การนำเสนอผลการค้นหาในรูปแบบสรุปข้อมูล คล้ายกับที่เห็นใน Bing Chat นั้น ต้องใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์มากกว่าระบบดั้งเดิมที่แสดงผลลัพธ์เป็นรายการลิงก์สีน้ำเงินด้วยเหตุนี้ Google อาจกำลังมองหาวิธีชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาแหล่งรายได้หลักซึ่งสร้างรายได้ถึง 175 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม Google ยังไม่มีประกาศใดๆ เกี่ยวกับตลาดการค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบ generative ในขณะนี้
ที่มา neowin